วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข
กาจนาภิเษก
วิสัยทัศน์
: เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งผลิตและพัฒนาศักยภาพบุคลากรสายสนับสนุนทางการแพทย์และสาธารณสุขสู่ ชุมชนให้เป็นคนดี
มีความรู้ทักษะเชิงวิชาชีพตามมาตรฐานการศึกษา
ใฝ่รู้ และผสมผสานภูมิปัญญาไทยและ เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร
พบ “ผักติ้ว” สามารถสกัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระยับยั้งการหืนได้
|
|
ชลบุรี - วิจัยพบผักจิ้มน้ำพริก
กระถิน ติ้ว หมาก พลู
มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับวิตามินอี
คือ เป็นสารกันหืนได้
โดยจากการวิจัยพบว่า
หนึ่งในนั้นคือ ผักติ้ว
ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากที่สุด
นางพิชญ์อร ไหมสุทธิสกุล
นักศึกษาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก
(คปก.) คณะอุตสาหกรรมเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ศึกษาพบว่า “ติ้ว” ซึ่งเป็นพืชผักธรรมชาติที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดสามารถนำมาสกัดเป็นสารกันหืนในอาหารได้ผลดี
ปลอดภัย และราคาถูก หากสามารถนำไปต่อยอดเชิงการค้าทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอางจะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและลดการนำเข้าจากต่างประเทศ
โดยสารกันหืนที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารขณะนี้เป็นสารกันหืนสังเคราะห์อัลฟา
โทคอฟรีรอล ซึ่งเป็นสารประเภทวิตามินอี
มีคุณสมบัติกำจัดอนุมูลอิสระได้
แต่เมื่อนำมาทำการทดลองวัดหาค่าการต้านอนุมูลอิสระแล้วพบว่า
“ติ้ว” สามารถยับยั้งการหืนของขนมขบเคี้ยวได้ดีกว่าสารสังเคราะห์
ทดลองด้วยการเคลือบสารสกัดจากติ้วบนขนม
แล้วนำมาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทาน
พบว่า ฟีนอลิกจาก “ติ้ว”
สามารถป้องกันการหืนบนขนมได้ดีกว่าอัลฟา
โทคอฟรีรอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสังเคราะห์ |
สำหรับสารฟีนอลิก ซึ่งใช้ต้านอนุมูลอิสระพบในพืชที่เกิดในบริเวณที่มีแสงแดดมากและพืชเมืองร้อนก็จะสร้างสารฟีนอลิก
ออกมาได้มากกว่าบริเวณที่ไม่มีแดดซึ่งเหมาะกับประเทศไทย
โดยสารฟีนอลิก พบมากในผักที่รับประทานกับน้ำพริก
เช่น ติ้ว กระโดน กระถิน
และพวกหมาก พลู สีเสียด
และพืชที่ผลิตไวน์ เช่น
ลูกหว้า มะเม่า มะเกลี้ยง
เป็นต้น ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
แต่ต้องทำการทดสอบความเป็นพิษก่อน
ซึ่งถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่มีพิษก็จะสามารถนำมาผลิตในเชิงการค้าได้ทันที
เนื่องจากในพืชบางชนิดยังพบว่ามีสารก่อมะเร็งรวมอยู่ด้วย
เช่น กลุ่มของหมาก
อย่างไรก็ดี
หากมีการต่อยอดจนสามารถผลิตสารสกัดติ้วในเชิงพาณิชย์ได้ก็จะช่วยลดอัตราการนำเข้าของสารสกัดพืชจากต่างประเทศ
และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทยด้วย
|
ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 21 เมษายน 2549 | |
พบ 'แมงลักคา' รักษาหวัดใหญ่
|
|
วงการแพทย์ไทยทำสำเร็จ
พบ "แมงลักคา" หรืออีตู่ป่า
เป็นสมุนไพรรักษาไข้หวัดใหญ่
เผยทดลองกับสัตว์และคนไข้มานานกว่า
1 ปี ได้ผลดีในระดับปฏิบัติการ
เตรียมผลิตเป็นยาแคปซูลหลังทดลองระยะที่
3 เสร็จในเร็วๆ นี้ เมื่อวันที่
18 กรกฎาคม น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล
รมว.สาธารณสุข เป็นประธานเปิดศูนย์ตรวจสอบและรับรองคุณภาพสมุนไพร
เพื่อเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยและมอบเครื่องหมายรับรองคุณภาพให้แก่เกษตรกร
โรงพยาบาล และหน่วยงานของรัฐ
33 ราย พร้อมลงนามในความร่วมมือกับสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร
เพื่อพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย
รมว.สาธารณสุข เปิดเผยในงานนี้ว่า
เป็นความสำเร็จของวงการแพทย์ไทยที่สามารถวิจัยสมุนไพรเพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่
ไฟโต-1 (Phyto-1) ซึ่งสถาบันวิจัยสมุนไพร
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
วิจัยหลังพบว่า การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ทุกครั้งจะต้องใช้ยาต้านไวรัสจากต่างประเทศที่มีราคาแพง
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้ทดลองใช้สมุนไพรในการรักษาไข้หวัดใหญ่
ซึ่งจากการทดลองพบว่า
สมุนไพรไฟโต-1 สามารถฆ่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ในระดับห้องปฏิบัติการ
"การใช้สมุนไพรชนิดนี้
จะใช้ในความเข้มข้นของสมุนไพรไฟโต-1
ในขนาด 5 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
ซึ่งสามารถลดเชื้อไข้หวัดใหญ่ลงได้ถึง
93% โดยไม่พบความเป็นพิษหรืออันตรายจากการทดลองในสัตว์ทดลอง
และผลการทดลองระยะที่
1 ซึ่งเป็นการทดลองในมนุษย์
10 คน ก็พบว่าปลอดภัย ไม่พบผลข้างเคียง
ซึ่งจะมีการทดลองในระยะที่
2 และระยะที่ 3 ต่อไป" น.พ.สุชัย
กล่าว ด้าน น.พ.ไพจิตร
วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีคลังเก็บเชื้อไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนกจำนวนมาก
ซึ่งเมื่อนำมาใช้ในการทดลองสุมนไพรไทยตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข
พบว่าในส่วนของสมุนไพรไฟโต-1
ซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก
คือแมงลักคา และส่วนประกอบอื่นๆ
นั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้นำไปจดสิทธิบัตรยาไว้แล้ว
"การทดลองในระยะที่ 1
ที่ผ่านมา พบว่ามีความปลอดภัยทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ก็ไม่มีผลข้างเคียง
ซึ่งกรมได้วางแผนที่จะวิจัยทางคลินิกในระยะที่
2 เพื่อดูประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อในมนุษย์ให้มากขึ้น
โดยคาดว่าจะใช้อาสาสมัคร
400-500 คน และจากนั้นจะมีการวิจัยในระยะที่
3 ซึ่งคาดว่าจะใช้อาสาสมัคร
1,000 คนขึ้นไป และหลังจากที่ทำการทดลองเสร็จแล้ว
ก็คาดว่าจะผลิตสมุนไพรไฟโต-1
ออกมาเป็นยาแคปซูล" อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กล่าว ด้านนางปราณี ชวลิตธำรง
ผอ.สถาบันวิจัยสมุนไพร
กล่าวว่า สถาบันได้ทดลองใช้สมุนไพรดังกล่าวเพื่อหาสรรพคุณทางยาในการรักษาโรคมาประมาณ
5 ปีแล้ว แต่เพิ่งทดลองใช้กับไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนกเมื่อ
1 ปีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่องค์การอนามัยโลก
(ฮู) ระบุว่าไข้หวัดใหญ่จะมีการระบาดครั้งใหญ่ในช่วง
1-2 ปีจากนี้ไป "จากการทดลองก็พบว่าสมุนไพรไฟโต-1
ได้ผลดีในการฆ่าเชื้อไข้หวัดใหญ่
ส่วนไข้หวัดนกนั้นอยู่ระหว่างดำเนินการทดลอง
ซึ่งจากนี้ไปจะมีการทดลองทางคลินิกในเฟสที่
2 ซึ่งเป็นการทดลองในมนุษย์ประมาณ
400-500 คน คาดว่า 1-2 ปี จะสามารถสรุปผลได้
แต่หลังจากการทดลองได้ประมาณ
40-50 คน ก็น่าจะได้แนวทางว่าจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ภายใน
7-8 เดือน" นางปราณี กล่าว
ทั้งนี้ แมงลักคา หรืออีตู่ป่า
มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า
Hyptis suaveolens Poit. อยู่ในวงศ์ LAMIACEAE มีลักษณะเป็นไม้ล้มลุกถึงไม้พุ่มเตี้ย
สูงถึง 2 เมตร ลำต้นอ่อนมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม
มีขนปกคลุมทั่วลำต้นโดยเฉพาะที่ยอดอ่อน
ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตัวตรงข้าม
ก้านใบยาว 0.5-5 ซม. ใบรูปไข่หรือรูปรี
โคนใบเว้าเข้าเป็นร่องรูปหัวใจ
ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก
ผิวใบมีขนสากมือ ใบกว้าง
1-6 ซม. ยาว 1.5-7.5 ซม. ก้านใบและใบอ่อนมีขนปกคลุม
ใบและส่วนต่างๆ ของต้นมีกลิ่นฉุน
| |
|